AROWANA's Bride Ch.17 Cut Scene
ในความเงียบสงัด ลมหายใจพ่นหนักจนได้ยินเสียง เพียงครู่เดียวที่หันกลับลงกลอนข้างใน กลับถูกร่างสูงกว่าทาบทับ โถมน้ำหนักตัวจนตัวลู่แนบติดผนังประตู มือคู่ใหญ่บีบสองแขนไว้แน่นไม่ให้ขยับหนี ขณะที่สันจมูกซอนไซ้ สูดดมกลิ่นราวกับสัตว์กำลังติดสัดรึหิวกระหาย
ลักษณะหลายอย่างบ่งชี้ให้รู้ ว่าสึฮุนฟื้น...แต่ไม่คืนสติ ยังคงถูกครอบงำด้วยความชั่วร้ายที่ทำให้หน้ามืดตามัว ลู่นิ่วหน้าข่มอารมณ์กลัวที่เริ่มก่อรูปร่าง พยายามเค้นความจำที่เคยร่ำเรียนถึงวิธีจัดการกับยาพิษ ทว่านี่ก็นับเป็นหนแรกที่ต้องเผชิญกับสถานการณ์คับขัน ทฤษฎีกับปฏิบัติมันมีข้อจำกัดเลื่อมล้ำที่ตนเองไม่อาจรู้จนกระทั่งตอนนี้
“เราจะช่วย แต่เจ้าอย่ารีบร้อน” พยายามจะปรามแต่ดูเหมือนเสียงจะไปไม่ถึง เมื่อสองมือใหญ่ฉีกทิ้งเสื้อผ้าจนขาด แรงตึงผ้าบาดผิวเนื้อจนขึ้นจ้ำ ปลาหนุ่มเกร็งร่างเมื่อถูกกระชากตัวไปกลางห้อง สะดุ้งวาบเมื่อฝีเท้าต้องเหยียบย่ำเศษกระเบื้องอย่างเลี่ยงไม่ได้ เลือดสีน้ำเงินซึมลงฝืนผ้าตามการก้าวย่าง ก่อนทั้งร่างจะถูกเหวี่ยงล้มลงกลางผืนฟูก ปลาหนุ่มสบถอย่างหัวเสีย
“เราบอกว่า...” หากไม่ทันได้ตอบโต้ ถ้อยวาจาถูกหยุดยั้งด้วยริมฝีปากของอีกฝ่าย นับเป็นรูปแบบการต่อสู้ที่ไม่เคยเจอและตั้งรับไม่ถูก แรงเบียดเสียดนั้นรุนแรงจาบจ้วง ลู่สู้ขบกรามแน่นไม่โอนอ่อนตามการชักนำ
เมื่อไม่ยอมตกเป็นเบี้ยล่าง ก็ต้องเป็นฝ่ายควบคุม มือที่ใช้ขืนตัวจึงเคลื่อนลงไปเบื้องล่าง ขวางกั้นส่วนกลางกายที่กำลังขยับเสียดสี สบจังหวะมนุษย์ผละฝีปากคำรามแผ่ว เลยดันอกกว้างออกและขยับขึ้นคร่อมเสียเอง สึฮุนยอมว่าตามชั่วขณะ มือสาละวนแกะสายคาดอาภรณ์ออกจนหมด ร่างเปลือยเปล่าปรากฎในไม่ช้า ลู่เบือนหน้าหนีด้วยเกิดความรู้สึกตีรวนชอบกล
เพียงครู่เดียวไม่ทันระวังตัวเลยถูกดึงเข้าไปจูบต่อ ลิ้นร้อนสอดเข้าพันเกี่ยวทำเอาปลาหนุ่มสติรวนเรไปชั่วขณะ กลายสถานะเป็นลูกปลาเล็กถูกไล่ต้อนและหยอกล้อจนสับสน แต่ยังดิ้นรนต่อสู้ มือลู่ควบคุมเนื้อร้อนแฉะชื้น แม้ใจนึกขยาดก็จำยอม ขยับเร็วขึ้นเพื่อเร่งอีกฝ่ายให้ถึงจุดหมายเสียที
ทว่าจู่ ๆ ริมฝีปากฉกาจผละจาก รวบสองมือชาวปลาหยุดยั้งการกระทำ
“ไม่ได้เรื่อง”
คำสบประมาททำเอาหน้าชาวาบ ลู่กัดฟันกรอดเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะเยาะต่อเนื่อง อารมณ์โกรธเกรี้ยวปะทุขึ้นฉับไว
“โอ๊ย!” หากไม่ทันได้ทำอะไร ก็หลุดเสียงร้องโอยเพราะมือใหญ่กระชากผมตนโดยแรงและดึงลงไปเบื้องล่างจนสายตาปะทะสิ่งนั้นที่กำลังตื่นผงาด
“เราไม่…อ้ะ....” ถ้อยวาจาถูกหยุดยั้งด้วยแรงบีบช่วงกรามจนเผยอค้าง และสอดลำกายเข้าไปจนจุกคอ คลอนสะโพกเข้าออกโดยไม่รีรอความพร้อมใจ
“อย่างนี้สิดี...อา...” มนุษย์หนุ่มคำรามเสียงดังด้วยความพอใจ ทว่าฝ่ายปลากลับสีหน้าไม่สู้ดีนัก รสเฝื่อนลิ้นและกลิ่นคาวใคร่ช่างน่ารังเกียจและขยาดแขยง หากพยายามจะฝืนตัวออกกลับทำไม่ได้ โคนผมที่ใกล้หน้าผากถูกมือหยาบช้าดึงกระชากโดยแรง ตาหวานรื้นน้ำตาเพราะเปล่งเสียงร้องบอกไม่ได้ว่าเจ็บเพียงไร ทำได้เพียงยอมให้อีกฝ่ายกระทำจนพอใจ และรอจนกระทั่งบางสิ่งบางอย่างทะลักออกมา มันผิดจังหวะจนสำลัก
“แค่ก! แค่ก!” ลู่ไอโขลกจนตัวโยน กลิ่นมนุษย์คละคลุ้งไปทั่วระบบหายใจ ร่างกายปลาเกิดการต่อต้านจนสำรอกหนัก เจ็บเสียดปลาบไปตลอดช่วงกระบังลม
เสียงหายใจเหนื่อยหอบทับซ้อนกันทั้งสองฝ่าย ทว่ายังไม่ทันพักให้หายเพลีย ร่างผอมเพรียวถูกผลักจนหงายหลังติดฟูก ถูกอีกร่างคุกคามทาบทับอีกครั้ง
ไม่ใช่เรื่องดีเมื่อร่างกายกำลังอ่อนแรง ทั้งกลิ่นเลือด เหงื่อไคล ผสมกลิ่นคราบใคร่มันชวนให้สะอิดสะเอียนและวิงเวียน หัวใจปลาตื่นตระหนกเมื่อรู้สึกได้ถึงอันตราย เงาทะมึนพาดทับพร้อมน้ำหนักกดคร่อมกายช่วงล่างเอาไว้ และเจ้าสิ่งที่คิดว่าสิ้นฤทธิ์ไปแล้วกลับแข็งขืนขึ้นอีกครา ลากไล้ไปมาตามโคนขา เกินเลยมาหยอกล้อสิ่งที่มีคล้ายกัน ก่อนจะค่อย ๆ ถดถัดลงจดจ่อช่องทางข้างล่าง
พิษร้ายในกายมนุษย์คงไม่หายจนกว่าจะได้รับการบำบัดตามเงื่อนไข เรื่องถัดไปคาดเดาได้ไม่ยาก
แต่มันแสนยาก...หากหวังว่าจะหยุดกลางคันได้
เปลือกตาบางจึงข่มลงอย่างปลงใจ เมื่อใบหน้ามนุษย์เคลื่อนลงมาใกล้จนลมหายใจรินรดหน้า ไม่อยากมองแววตาที่ไม่ใช่คนรู้จัก…คนที่ไม่รู้ตัว ว่ากำลังละเมิดขอบเขตมากเกินไป
และไม่...แม้แต่จะรับรู้...ลู่มีตัวตนอยู่ตรงนี้ นานแค่ไหนแล้ว
“เจ้าควรรู้ตัวสักนิด เจ้ากำลังทำสิ่งที่ผิ...”
“หนวกหู”
“อึ๊ก...” ฟันคมขบกัดกลีบปากจนห้อเลือด เมื่อพลันเกิดความอึดอัดในช่องทาง ร่างกายปฏิเสธสิ่งแปลกปลอมตามสัญชาตญาณ หากเนื้อร้ายกลับแทรกซึมเข้ามาอย่างดันทุรัง ฝากฝังย้ำลึก และเริ่มขยับเคลื่อนคลอนโดยไม่ออมแรงแม้แต่น้อย
สีหน้าลู่บิดเบี้ยวเหยเก เจ็บที่กาย...ราวกับถูกฉีกเนื้อเป็นชิ้น หากยังไม่สู้ความเจ็บปวดและอัปยศในหัวใจ...ตนเป็นถึงนายน้อยวังปลากลับพลาดท่าให้มนุษย์เช่นนี้ ร่างกายที่ถูกฟูมฟักมาอย่างดี เวลานี้ถูกย่ำยีจนบอบช้ำ
ตกอยู่ในอ้อมกอดก้าวร้าวและดุร้าย จมอยู่ในผืนฟูกที่เต็มไปด้วยกลิ่นคาว ต้องทนฟังเสียงครวญครางน่าขยาด กับสัมผัสหยาบโลนที่คุกคามจาบจ้วงไปทั่วร่าง
ทุกอย่างเกิดขึ้น ...ปราศจากซึ่งความรัก
“เจ็บ...สึฮุน เราเจ็บ...เบาหน่อย...เจ็บ...” แม้ยอมลดศักดิ์ศรีวิงวอนกลับไม่รับฟัง ซ้ำยังโถมแรงกระทั้นกายหนักขึ้น ริมฝีปากคำรามคราง พลางเก็บเกี่ยวกำไรจากผิวเนื้อนวล หลายทีฟันคมขบงับราวกับต้องการจะกลืนกิน ความเจ็บปวดมีแต่เพิ่มพูนไม่หยุดหย่อน จนสติสัมปะชัญญะของลู่เริ่มเลือนพร่า ยิ่งเมื่อกลิ่นของปลาผสมกับของมนุษย์ ทั้งสารคัดหลั่ง หยาดเหงื่อ โลหิต ราวกับน้ำต่างน่านไหลรวมสู่สายธารเดียวกัน มันกำลังจะกลมลืนเป็นหนึ่งเดียวกันในไม่ช้า
และนั่นทำให้หัวใจปลาบังเกิดความหวาดผวา…
ว่ากันว่าเมล็ดพันธุ์ของมนุษย์หว่านไปทั่วผืนดิน และกระเทาะออกจากเปลือกอย่างง่ายดาย
“ม...ไม่...” ลูกปลาเล็กเสียงสั่นเครือ ส่ายหน้าและเค้นเรี่ยวแรงหลีกหนี หากร่างกายกลับถูกกักกันไว้ในอกกว้าง
“พ...พอแล้ว...ออกไป...อย่...!...” เสียงร้องหายไปเมื่อถูกแรงกระทั้นหนักจนจุกเสียด เสียงคำรามดังลั่นข้างครีบหูยามเมื่อสะโพกสอบหยัดขึ้นเกร็งค้าง สายธารร้อนหลั่งล้น จนท่วมท้นในช่องทาง
และหยาดน้ำตาร่วงหล่นลงเป็นสาย...มันสายไปเสียแล้ว...
“โอ๊ย!!” และทันใดต้องหวีดร้องเสียงหลงโดยไม่ทันพักหายใจ ยามเมื่อฝีปากร้ายทาบทับเหนือหน้าผาก สำหรับมนุษย์อาจเป็นการให้รางวัล แต่กับลู่มันกลับตาลปัตรโดยสิ้นเชิง จุดอ่อนถูกโจมตีโดยไม่ทันตั้งตัว ร่างบอบช้ำเกร็งวาบ หัวใจกระตุกหนักคล้ายมีมือร้ายฉุดกระชากออกจากขั้ว เสี้ยวเวลาหนึ่งได้รู้ซึ้งถึงสภาวะเฉียดตาย มวลน้ำมากมายถูกขับออกจากร่างกะทันหัน สรรพางค์กายคล้ายถูกเหวี่ยงโยนขึ้นสูง แล้วปล่อยตกลงมาอย่างไม่ใยดี
แม้มีหัวใจเข้มแข็งดี ก็แตกเป็นเสี่ยงซีกอยู่ดี
ทุกอย่างคล้ายดำเนินผ่านจุดสิ้นสุดแล้ว เมื่อร่างสูงทิ้งตัวเองลงทาบทับ แรงบีบเคล้นผละจากไป ต่างฝ่ายนอนหอบหายใจ
และคงเป็นจุดสิ้นสุด...ของเยื่อใยความสัมพันธ์ หยดน้ำตากลิ้งลงผืนผ้าซึ่งเปรอะเปื้อน หยดแล้ว...หยดเล่า มือสั่นเทาฝืนเคลื่อนขึ้นกอบกุมลำคอของมนุษย์เอาไว้
“ตั้งแต่เกิดมา...ไม่เคยมีใครทำร้ายเราเพียงนี้...เจ้าเป็นใคร...มีสิทธิ์อะไรทำกับเราอย่างนี้...”
เสียงแหบแห้งและติดขัดด้วยแรงสะอึกสะอื้น ฝืนสังขารออกแรงผลักดันจนห่าง ทอดแววตามองใบหน้ามนุษย์อย่างเคืองแค้น
“ฮึก...” นายน้อยวังปลากล้ำกลืนก้อนสะอื้นอย่างลำบาก ออกแรงเกร็งและเริ่มบีบรัดจนแน่น...เท่าที่เรี่ยวแรงจะหลงเหลือ สึฮุนนิ่วหน้าเพราะหายใจยากลำบาก สีหน้าเริ่มบิดเบี้ยวเหมือนทุกคืนที่ฝันร้าย จากสัตว์ป่าดุร้ายกลายเป็นเหยื่ออ่อนแอ จะเข่นฆ่าให้ตายตอนนี้นับว่าไม่ใช่เรื่องยากอะไร
แต่ทำไม...ทำไม่ได้
สองมืออ่อนแรงผละจากลำคอแกร่งอย่างอ่อนเปลี้ย สีหน้าขององค์ชายน้อยจึงค่อยคลาย
และวินาทีที่ดวงตาคู่นั้นลืมขึ้น ทุกอย่างชะงักงัน
เมื่อแววตาที่คุ้นเคยนั้น หวนคืนมา...พร้อมรอยยิ้ม
“เราพบกันอีกแล้ว...นางฟ้าน้อย”
รอยยิ้มที่คุ้นเคย...เหมือนคนที่คุ้นเคย...กลับคืนมา
นายน้อยวางปลาร่ำไห้อย่างลืมอาย ยกมือขึ้นกำบังเมื่อรอยยิ้มนั้นเคลื่อนลงมาใกล้อีกครั้ง หากสองมือถูกกอบกุมและดึงออกไปจนพ้นทาง จนได้มองสบตากันระยะใกล้ และรอยยิ้มนั้นเคลื่อนเข้าชิด หยุดยั้งเสียงร่ำไห้เสียสนิท ด้วยน้ำหนักบดเบียดแสนอ่อนโยน
ช่างน่าขัน...มันไม่ต่างจากตบหัวแล้วลูบหลัง และน่าขัน...เมื่อหัวใจบอบช้ำกลับพองฟูและตื้นตัน เปลี่ยนผันจุมพิตขมเป็นรสหวาน นานแสนนานกว่าจะผละอย่างเสียดาย มือใหญ่ประคองดวงหน้าหวาน เกลี่ยหลังนิ้วเช็ดน้ำตาให้ “ร้องไห้ทำไม ตาสวย ๆ เจ้าช้ำหมดแล้วเห็นไหม”
“เพราะเจ้า...ไม่ใช่...ฮึก...รึไง...”
“ไม่เป็นไรนะ...ไม่เป็นไร...” วงแขนกว้างค่อย ๆ กระชับวงล้อมอย่างทะนุถนอม ร่างในอ้อมกอดดิ้นขลุกขลัก
“ปล่อยเรา...เราเกลียดเจ้า”
“โกหก....นางฟ้าน่ะใจดี เกลียดใครได้เสียทีไหน”
“เราไม่ใช่นางฟ้า เราเป็นปลา ชื่อลู่”
“ลู่...”
“....”
สุ่มเสียงพร่าเอ่ยเรียกชวนให้โมโห…
โมโหหัวใจตนเองที่ตื่นเต้น ที่ตื่นเต้นตามคารม
และสานต่อเป็นความรู้สึกหวะหวิว เมื่อบางสิ่งที่คั่งค้างกลับคืนแรงแข็งขืน ขยับขยายจนเสียดแน่นอีกครั้ง
“ปวดตรงนั้นจังเลย...ลู่ช่วยหน่อยได้ไหม”
“เจ้านี่มัน....” ลู่ยกแขนขึ้นขืนเจ้าตัวที่เริ่มโถมน้ำหนักใส่ กอบกำปั้นทุบอก “ทำเราเกือบตายเมื่อกี้ อ๊ะ...ส...สำนึกบ้าง...อึก...ไหม”
“เราทำผิดอะไรหรือ?” สีหน้าเศร้าโน้มลงจนเกือบชิด ลู่ข่มเปลือกตาเบือนหน้าหนี
น่าโมโหสิ้นดี…
โมโหหัวใจตัวเอง...ที่อ่อนยวบเหมือนเทียนไขตอนไฟลน
“เราขอโทษ ให้เราแก้ตัวได้ไหม?”
คนมึนเมาเอ่ยถามน้ำเสียงออดอ้อน ไม่มีคำตอบจากร่างข้างใต้ หน้าหวานผินหลบลงซบผืนฟูก สองมือดึงรั้งผืนผ้าชุ่มปกคลุมครีบตั้งแต่โคนจรดปลาย
“ถ้าตื่นมาจำไม่ได้...ไม่ตายดีแน่”
เสียงอู้อี้เล็ดลอดออกมา ไม่อาจรู้ว่าเป็นสัญญาณต่อต้านหรือยอมรับ หากมนุษย์เอาแต่ใจก็ตีความเข้าข้างตนเองว่าเป็นอย่างหลัง ไม่นานนัก ผืนฟูกขยับเคลื่อนตามแรงกายที่เริ่มเขยื้อนอีกครั้ง โดยที่เสียงสะอื้นมักดังแว่วแผ่ว คลอเคล้าไปกับเสียงปลอบโยนบ้าง เว้าวอนบ้าง ครวญครางบ้าง ขานเรียกกันบ้าง...ซ้ำ ๆ
ตราบนานที่ประตูไม่ถูกเปิด คงค่อย ๆ เปลี่ยนความโศกเศร้าเป็นสุขสม...ซ้ำ ๆ